พระพุทธบาทตากผ้า

พระพุทธบาทงามละออ กราบไหว้ พระพุทธบาทตากผ้า อำเภอป่าซาง

ผ้าทอ

ผ้าทอหัตถกรรม ผ้าฝ้ายทอมือขึ้นชื่อป่าซาง เที่ยวชมผ้าฝ้าย .

ประเพณีงาม

งามล้ำประเพณี ประเพณีแห่ครัวตาน สงกรานต์ แห่ลูกแก้ว.

ผลผลิตทางการเกษตร

ลำไยรสหวาน ขึ้นชื่อลือชา แหล่งผลิตลำไยส่งออก.

แหล่งท่องเที่ยว

เที่ยว กิน ดื่ม แม่วังส้าน อำเภอป่าซาง.

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

ประเพณีปอยลูกแก้ว


               "ปอย" เป็นภาษาพม่า แพร่เข้ามาสมัยยึดครองเมืองเชียใหม่ หมายความถึง "งาน" ที่มีคนมาช่วยกัน หรือ ชุมนุมกัน งานฉลอง งานสมโภช มหากรรม รวมเข้าไปหมด แต่มีคำว่า "หลวง" และ "น้อย" ต่อท้าย ถ้าเป็นงานฉลองใหญ่ เรียกว่า "ปอยหลวง" ส่วนปอยลูกแก้วนี้เรียกว่า "ปอยน้อย" คืองานเล็กๆนั่นเอง 
               ทางล้านนาไทยเรียกลูกที่จะบรรพชาหรืออุปสมบทว่า "ลูกแก้ว" คือลูกดีเป็นพิเศษ เป็นแก้วเป็นคุณแก่บิดามารดา เรียกว่าเป็นคำยกย่องลูกที่จะเปลี่ยนเพศ
                ล้านนาไทยนิยมบรรพชาสามเณรมาก ทั้งนี้มิใช่ว่าไม่นิยมการอุปสมบท เป็นแต่เพียงว่านิยมให้ลูกตนเข้าไปเป็นสามเณรมากกว่าเท่านั้น เด็กชายประมาณ 10 ปี บิดามารดาผู้หวังความเจริญแกลูก ย่อมจะนำลูกมาฝากเป็น "ขะยม" หรือศิษย์วัด อาจจะให้เป็นศิษย์ของพระรูปใดรูปหนึ่งก็ได้ 
              ทั้งนี้เพราะวัดเป็นสถานที่ศึกษาเพียงแห่งเดียวที่เรามีอยู่ วิทยาการทุกแขนงเราไปศึกษาจากวัด วัดเป็นศูนย์กลางแห่งศิลปศาสตร์ทั้งปวง เมื่อศึกษาเล่าเรียนอักษรสมัยจบแล้ว ก็เริ่มเรียนคำที่จะใช้กล่าวขอบบรรพชาเรียนสิกขาวินัย และเริ่มท่องสวดมนต์ต่างๆ หัดอ่านคัมภีร์ที่เขาจารไว้เป็นอักษรลานนาไทย            ประมาณอายุ 12 ปี จึงจะมีการจัดงานปอยลูกแก้วบรรพชาให้ ทางล้านนาไทยเชื่อว่า "การบรรพชาสามเณรนั้น ชื่อว่าตอบแทนคุณของมารดา เพราะ อายุ 12 ปี เท่ากับคุณของมารดา ส่วนคุณของบิดานั้นมี 20 ถ้าได้อุปสมบทตอนอายุ 20 ปี จึงชื่อได้ว่าตอบแทนคุณของบิดา"
             หากว่าบิดามารดาเด็กที่จะบวชเป็นคนยากจนก็จะมอบเด็กนั้นให้แก่คนที่มีเงิน มีจิตศรัทธาเป็นเจ้าภาพบวชให้ เรียกกันว่า "พ่อออก หรือแม่ออก" "เป็นพ่อแม่คนที่สองเลยทีเดียว"
             การดาปอย หรือ เตรียมงาน ไม่มีกฏเกณฑ์บังคับ ใครจะทำเพียงใดก็ได้ หากยากจนจริงๆ จะบวชเพียงมีห่อหมากแจกถวายพระก็ได้ งานปอยลูกแก้วที่จะพูดในทีนี้ ประสงค์จะพูดให้เต็มแบบฉบับของงาน เพื่อให้คนรุ่นใหม่ศึกษาว่าในอดีตเขาทำกันอย่างไร 
             เบื้องแรกเมื่อตกลงกันว่า "จะดาปอยลูกแก้วแล้ว" เขาก็จะตระเตรียมสิ่งของเครื่องใช้เหมือนงานทั้งหลาย แล้วให้ลูกสาว หลานสาว หรือสาวๆเพื่อนบ้านไปแผ่นาบุญ "การแผ่นาบุญ" ก็คือการบอกให้ญาติมิตรมาทำบุญร่วมกัน เขาจะเอาผ้าเหลือง หรือผ้านิสีทนะคือผ้ารองนั่งห่ออัฐบริขารบางชิ้นแล้วใช้ลูกประคำพันที่จุกผ้านิสีทนะที่รวบรวมกันเป็นกระจุกไว้ เอาห่อผ้านี่วางบนพานอุ้มเดินไปแผ่นาบุญ เจ้าของบ้านก็จะยกพานนนั้นขึ้นจบที่หน้าผาก แล้วกล่าวว่า "สาธุ อนุโมทามิ"
            "วันดา" คือ วันสุกดิบมาถึง ในวันนีตลอดวันญาติพี่น้องจะมาช่วยกันเตรียมสิ่งของและทำกับข้าว ผู้คนจะร่วมมาอนุโมทนา ด้วยสิ่งของบ้างเงินบ้างตามเจตนา เขาจะปลูกร้านเพื่อให้ช่างซอขึ้นเล่น เป็นมหรสพ


              การแห่ลูกแก้ว 

                ส่วนมากเด็กที่จะบรรพชาเป็นสามเณรนั้น จะมีการแห่ลูกแก้ว โดยกำหนดให้ไปเอาลูกแก้วจากวัดใดวันหนึ่งที่ห่างไกลจากวัดที่จะบวชประมาณ 2-3 กิโลเมตร เขาจะพากันไปที่สัดนั้นทั้งคนหนุ่มคนสาวและเด็กๆเพื่อแต่งตัวลุกแก้วแล้วพาขี่พาหนะ เช่น ม้า ช้าง คน หรือรถ 
                การแต่งตัวลูกแก้ว เขาจะแต่งตัวด้วยเครื่องลิเกหรือละคร สมมติให้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ประดับด้วยถนิมพิมพาภรณ์อย่างเพริศแพร้ว เลียนแบบเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อตอนเสร็จออกบรรพชา เมื่อเสร็จแล้วก็จะอุ้มลูกแก้วขึ้นนั่งบนพาหนะ ส่วนมากมักเป็นม้ากั้นสัปทนกันแดดให้ แล้วก็แห้ด้วยฆ้องกลองหรือเครื่องสายแบบพื้นเมือง มาตามถนนคืนสู่วัดที่ลูกแก้วจะบรรพชา เป็นที่สนุกสนานมาก เมื่อลุกแก้วมาถึงวัดแล้วจะนั่งพักสักครู่เพื่อรอทำพิธี "เรียกขวัญ" หรือพิธีบายศรี ทำขวัญนาค


อ้างอิง คณะกรรมการจัดทำหนังสือประจำจังหวัดลำพูน. (2542). ภูมิปัญญาชาวบ้านและเทคโนโลยีท้องถิ่น. ลำพูน: คณะกรรมการจัดทำหนังสือประจำจังหวัดลำพูน.

ความหมายของคำว่า "สงกรานต์"

ประเพณีปีใหม่เมือง

ความหมายของคำว่า "สงกรานต์" คำนี้เป็นคำในภาษาสันสกฤต แปลว่า "การล่วงเข้าไปหรือเคลื่อนย้ายเข้าไป" เป็นกริยาของพระอาทิตย์ที่เคลื่อนย้ายเข้าสู่ราศีเมษ คือถือเอาเดือนเมษายนเป็นเดือนแรกของปี คือมีเดือนมีนาคมเป็นเดือนสุดท้ายของปี เมื่อพระอาทิตย์ย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ ช่วงระยะเวลานี้เรียกว่า "สงกรานต์" ส่วนมากจะตรงกับวันที่ 13 เมษายน เป็นขณะที่มีอากาศร้อนพอดี

คำว่า "สงกรานต์" ล้านนาไทยออกเสียงตามหลักตัว "ร" กล้ำ คือกล้ำออกเสียงเป็น ข.กล้ำ ต. ออกเสียงเป็น ถ. กล้ำ ป. ออกเสียงเป็น ผ. เช่น กรง เป็น ขง ปราสาท เป็น ผาสาท ด้วยเหตุนี้ "สงกรานต์" จึงออกเสียงว่า "สํขานต์" หรือ "สังขานต์" มีความหมายเช่นเดียวกัน แต่คนส่วนมากมักเขียนว่า "สังขาร" เป็นการใช้คำไม่ถูกต้อง

สิงฆะ วรรณสัย. (2542). ภูมิปัญญาชาวบ้านและเทคโนโลยีท้องถิ่น. ลำพูน: คณะกรรมการจัดทำหนังสือประจำจังหวัดลำพูน.

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558

ประเพณีสงกรานต์ป่าซาง

ประเพณีสงกรานต์ป่าซาง


          สงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณ  เหมือนกับ ประเทศลาว กัมพูชา พม่า ชนกลุ่มน้อยชาวไตแถบเวียดนามและมนฑลยูนานของจีน ศรีลังกาและทางตะวันออกของประเทศอินเดีย สงกรานต์เป็นคำสันสกฤต หมายถึงการเคลื่อนย้าย นั่นหมายถึงการย้ายจากราศีมีนไปสู่ราศีเมษ  ในความเชื่อของไทยและบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นการส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ สมัยโบราณถือว่าวันที่ 13 เมษายน เป็นวัน"มหาสงกรานต์" หรือ วันเริ่มต้นปีใหม่ ทั้งนี้เป็นเพราะเป็นจากช่วงเวลาที่ดวง อาทิตย์โคจรผ่านจากราศีมีนเข้าสู่ ราศีเมษนั้น  โลกโคจรเป็นมุมฉากกับดวงอาทิตย์ จึงมีกลางวันและกลางคืนยาวเท่ากันพอดี วันสงกรานต์เป็นวันทำบุญใหญ่ประจำปี มี 3 วันคือ  วันมหาสงกรานต์หรือวันส่งท้ายปีเก่า (วันที่ 13 เมษายน)  วันกลางหรือวันเนา (วันที่ 14 เมษายน) วันขึ้นปีใหม่ หรือวันเถลิงศก (วันที่ 15 เมษายน)  ต่อมาจึงเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่มาเป็นวันที่ 1 มกราคม เพื่อให้เป็นสากล
          ประเพณีสงกรานต์ป่าซาง  มีการจัดงานประเพณีสงกรานต์ป่าซางครั้งแรก  โดยนายสวัสดิ์  อรรถศิริ  นายอำเภอป่าซาง เมื่อปี พ.ศ.2502  ท่านนายอำเภอเป็นเชื้อสายมอญ และพึ่งย้ายมาจากอำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง ก่อนหน้านี้สงกรานต์ของป่าซาง เป็นการเล่นรดน้ำ ดำหัวผู้ใหญ่ตามชุมชน และในเครือญาติกันเท่านั้น ท่านนายอำเภอเคยเห็นชุมชนชาวมอญ มีการจัดงานประเพณีวันสงกรานต์กันใหญ่โต สนุกสนานมีการะเล่นต่าง ๆ นอกเหนือจากการรดน้ำ ดำหัวผู้ใหญ่ ประกอบกับอำเภอป่าซางสมัยนั้นมีชื่อเสียงด้านสาวงาม และผ้าฝ้ายทอมือที่ขึ้นชื่อ
            การจัดงานประเพณีสงกรานต์ป่าซางครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 เมษายน  2502  ณ ที่ว่าการอำเภอป่าซาง มีขบวนแห่จากหน้าวัดฉางข้าวน้อยเหนือ ไปตามถนนสายป่าซาง-ลำพูน ผ่านหน้าตลาดป่าซาง จนถึงที่ว่าการอำเภอป่าซาง ประกอบด้วยขบวนของแต่ละตำบล ทั้ง 9 ตำบล ภายในขบวนมีขบวนกลองสะบัดชัย ขบวนสาวงามแต่งกายชุดพื้นเมือง ชุดยอง ขบวนนก ขบวนปลา เพื่อนำไปปล่อยหลังการเดินขบวนเสร็จ สองฝากถนนมีประชาชนมาเที่ยวชมขบวนแห่อย่างเนื่องแน่นพร้อมทั้งเล่นน้ำสงกรานต์ไปด้วย เป็นที่สนุกสนาน ทั้งหญิง ชาย เด็ก และผู้ใหญ่  พอทุกขบวนเดินทางมาถึง ณ ที่ว่าการอำเภอป่าซางเรียบร้อยแล้ว สาวงามที่นั่งมาบนรถขบวนแห่ เข้าประกวดนางสาวสงกรานต์ ซึ่งจะตัดสินภายในคืนนั้นเลย
         ตังแต่บัดนี้เป็นต้นมา อำเภอป่าซาง จะจัดงานประเพณีสงกรานต์ เป็นประจำทุกปี จนกระทั่งถึงปัจจุบัน บางปีจะมีงาน 1 วัน คือวันที่ 15 เมษายน  บางปี  3 วัน คือวันที่13-15 เมษายน  แล้วแต่สถานการณ์ และความพร้อมของประชาชน ส่วนราชการภายในอำเภอป่าซาง  นอกจากนั้นยังมีหน่วยงานจากองค์กรปกครองท้องถิ่นเข้าร่วมเป็นเจ้าภาพในงานจัดงานประเพณีสงกรานต์ ซึ่งทำให้งานมีความหลากหลายมากขึ้น มีกิจกรรมหลายอย่าง เช่น กาดมั่ว การประกวดขบวนแห่นางสงกรานต์ ประกวดการฟ้อนพื้นเมือง  การประกวดการทำอาหารพื้นเมือง เป็นต้น
  

  
การเล่นสงกรานต์ในอดีต ปี 2502



































วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

ประวัติความเป็นมาอำเภอป่าซาง


แผนที่อำเภอป่าซาง
  ประวัติความเป็นมาอำเภอป่าซาง
             บริเวณอำเภอป่าซาง  อยู่ในตำแหน่งที่มีสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์แห่งหนึ่ง  ในดินแดนภาคเหนือของประเทศไทย เพราะเป็นที่ ชุมทางของลำน้ำสำคัญถึง  3  สาย  ได้แก่  แม่น้ำปิง  แม่น้ำกวง และลำน้ำแม่ทา  แม่น้ำปิงคือลำน้ำที่ผ่านเมืองเชียงใหม่ลงมา ในขณะ ที่ลำน้ำกวงไหลมาจากเทือกเขา และที่สูงทางตะวันออกเฉียงเหนือผ่านอำเภอสันกำแพงมายังอำเภอเมืองลำพูนแล้วผ่านเมืองลำพูนมา
ทางตะวันออกเฉียงใต้พบกับลำน้ำแม่ทาซึ่งไหลลงมาจากเทือกเขาทางทิศใต้ผ่านบ้านป่าซางและที่ทำการอำเภอป่าซางมาบรรจบกับ
 ลำน้ำแม่กวงที่บ้านสบทาต่อจากนั้นก็ไหลรวมกันไปทางทิศตะวันตกประมาณ   1   กิโลเมตร  ไปบรรจบกับแม่น้ำปิง  จากตำแหน่งอัน เป็นที่พบกันของลำน้ำทั้งสามนี้      ทำให้เป็นบริเวณที่คุมเส้นทางที่จะเดินทางต่อไปยังเมืองเชียงใหม่และเมืองลำพูน     เท่ากับอยู่ใน
ตำแหน่งที่เป็นหน้าด่านที่สำคัญของเมืองทั้งสามที่เดียว
    เพราะฉะนั้นบริเวณที่พัฒนาการขึ้นเป็นชุมชนเมืองนั้น       ก็หาได้อยู่ตรงบริเวณที่ลำน้ำสบกันไม่     หากอยู่ในบริเวณสองฝั่งของลำน้ำแม่ทาที่ห่างจากบ้านสบทามาทางใต้ราว   2    กิโลเมตร       เพราะเป็น ตำแหน่งที่คุมเส้นทางทางบกที่มาจากอำเภอเถิน    อำเภอลี้     และอำเภอบ้านโฮ่งทางใต้     เส้นทางบกนี้ต่อมาได้พัฒนาขึ้นเป็นเส้น
ถนนหลวงที่ใช้ติดต่อกับระหว่างเชียงใหม่
   ลำพูน   ลี้   เถิน   และเมืองตาก   รวมทั้งลงมายังกำแพงเพชร  นครสวรรค์   ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่  5  ลงมาด้วย ชุมทางของลำน้ำสำคัญถึง  3  สาย  ได้แก่  แม่น้ำปิง  แม่น้ำกวง และลำน้ำแม่ทา  แม่น้ำปิงคือลำน้ำที่ผ่านเมืองเชียงใหม่ลงมา ในขณะที่ลำน้ำกวงไหลมาจากเทือกเขา และที่สูงทางตะวันออกเฉียงเหนือผ่านอำเภอสันกำแพงมายังอำเภอเมืองลำพูนแล้วผ่านเมืองลำพูนมา ทางตะวันออกเฉียงใต้พบกับลำน้ำแม่ทาซึ่งไหลลงมาจากเทือกเขาทางทิศใต้ผ่านบ้านป่าซางและที่ทำการอำเภอป่าซางมาบรรจบกับลำน้ำแม่กวงที่บ้านสบทาต่อจากนั้นก็ไหลรวมกันไปทางทิศตะวันตกประมาณ   1   กิโลเมตร  ไปบรรจบกับแม่น้ำปิง  จากตำแหน่งอันเป็นที่พบกันของลำน้ำทั้งสามนี้      ทำให้เป็นบริเวณที่คุมเส้นทางที่จะเดินทางต่อไปยังเมืองเชียงใหม่และเมืองลำพูน     เท่ากับอยู่ในตำแหน่งที่เป็นหน้าด่านที่สำคัญของเมืองทั้งสามที่เดียว    เพราะฉะนั้นบริเวณที่พัฒนาการขึ้นเป็นชุมชนเมืองนั้น       ก็หาได้อยู่ตรงบริเวณที่ลำน้ำสบกันไม่     หากอยู่ในบริเวณสองฝั่งของลำน้ำแม่ทาที่ห่างจากบ้านสบทามาทางใต้ราว   2    กิโลเมตร       เพราะเป็นตำแหน่งที่คุมเส้นทางทางบกที่มาจากอำเภอเถิน    อำเภอลี้     และอำเภอบ้านโฮ่งทางใต้     เส้นทางบกนี้ต่อมาได้พัฒนาขึ้นเป็นเส้นถนนหลวงที่ใช้ติดต่อกับระหว่างเชียงใหม่   ลำพูน   ลี้   เถิน   และเมืองตาก   รวมทั้งลงมายังกำแพงเพชร  นครสวรรค์   ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่  5  ลงมาด้วยชุมทางของลำน้ำสำคัญถึง  3  สาย  ได้แก่  แม่น้ำปิง  แม่น้ำกวง และลำน้ำแม่ทา  แม่น้ำปิงคือลำน้ำที่ผ่านเมืองเชียงใหม่ลงมา ในขณะที่ลำน้ำกวงไหลมาจากเทือกเขา และที่สูงทางตะวันออกเฉียงเหนือผ่านอำเภอสันกำแพงมายังอำเภอเมืองลำพูนแล้วผ่านเมืองลำพูนมาทางตะวันออกเฉียงใต้พบกับลำน้ำแม่ทาซึ่งไหลลงมาจากเทือกเขาทางทิศใต้ผ่านบ้านป่าซางและที่ทำการอำเภอป่าซางมาบรรจบกับลำน้ำแม่กวงที่บ้านสบทาต่อจากนั้นก็ไหลรวมกันไปทางทิศตะวันตกประมาณ   1   กิโลเมตร  ไปบรรจบกับแม่น้ำปิง  จากตำแหน่งอันเป็นที่พบกันของลำน้ำทั้งสามนี้      ทำให้เป็นบริเวณที่คุมเส้นทางที่จะเดินทางต่อไปยังเมืองเชียงใหม่และเมืองลำพูน     เท่ากับอยู่ในตำแหน่งที่เป็นหน้าด่านที่สำคัญของเมืองทั้งสามที่เดียว    เพราะฉะนั้นบริเวณที่พัฒนาการขึ้นเป็นชุมชนเมืองนั้น       ก็หาได้อยู่ตรงบริเวณที่ลำน้ำสบกันไม่     หากอยู่ในบริเวณสองฝั่งของลำน้ำแม่ทาที่ห่างจากบ้านสบทามาทางใต้ราว   2    กิโลเมตร       เพราะเป็นตำแหน่งที่คุมเส้นทางทางบกที่มาจากอำเภอเถิน    อำเภอลี้     และอำเภอบ้านโฮ่งทางใต้     เส้นทางบกนี้ต่อมาได้พัฒนาขึ้นเป็นเส้นถนนหลวงที่ใช้ติดต่อกับระหว่างเชียงใหม่   ลำพูน   ลี้   เถิน   และเมืองตาก   รวมทั้งลงมายังกำแพงเพชร  นครสวรรค์   ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่  5  ลงมาด้วย                 การมีชุมชนบ้านเมืองในเขตอำเภอป่าซางมีมาแล้วแต่สมัยล้านนา  เพราะอยู่บนเส้นทางคมนาคมแต่โบราณ  แต่เรื่องราวที่
เกี่ยวข้องกับการเป็นบ้านเมืองทางประวัติศาสตร์นั้น
 ปรากฎในสมัยก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยา เมืองป่าซางในอดีตเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญในการป้องกันข้าศึกที่ยกตีเมืองล้านนา  ได้แก่  ลำปาง  ลำพูน  และเชียงใหม่  เป็นต้น  พงศาวดารโยนกบันทึกไว้ว่า  ปี พ.ศ.2304  พม่าได้ให้โปมะยุง่วนเป็นแม่ทัพยกกองทัพมาตี  เชียงใหม่  และ ลำพูน  และในปี  พ.ศ.2306  ลำพูน   ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า
จนถึง
  พ.ศ.2308   ชาวลำพูนจึงรวบรวมกำลังต่อสู้ชิงเมืองคืนได้สำเร็จทำให้โปมะยุง่วนต้องหนีกลับเมืองอังวะต่อมาพม่าได้ให้อะแซหวุ่นกี้   ยกทัพมาตีเมืองลำพูนกลับคืนได้  ในปี  พ.ศ.2309  ในครั้งนี้พม่าได้บังคับให้ผู้ชายสักหมึกดำไว้ที่ขา  สักตั้งแต่เอวลงไปถึงเหนือหัวเข่า  และผู้หญิงให้เจาะหูแล้ใส่มวนใบลานที่รูหูตามอย่างพม่า  และให้โปสุพลา  โปมะยุง่วน  ดูแลเมืองลำพูนไว้เกี่ยวข้องกับการเป็นบ้านเมืองทางประวัติศาสตร์นั้น ปรากฎในสมัยก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยา เมืองป่าซางในอดีตเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญในการป้องกันข้าศึกที่ยกตีเมืองล้านนา  ได้แก่  ลำปาง  ลำพูน  และเชียงใหม่  เป็นต้น  พงศาวดารโยนกบันทึกไว้ว่า  ปี พ.ศ.2304  พม่าได้ให้โปมะยุง่วนเป็นแม่ทัพยกกองทัพมาตี  เชียงใหม่  และ ลำพูน  และในปี  พ.ศ.2306  ลำพูน   ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าจนถึง  พ.ศ.2308   ชาวลำพูนจึงรวบรวมกำลังต่อสู้ชิงเมืองคืนได้สำเร็จทำให้โปมะยุง่วนต้องหนีกลับเมืองอังวะต่อมาพม่าได้ให้อะแซหวุ่นกี้   ยกทัพมาตีเมืองลำพูนกลับคืนได้  ในปี  พ.ศ.2309  ในครั้งนี้พม่าได้บังคับให้ผู้ชายสักหมึกดำไว้ที่ขา  สักตั้งแต่เอวลงไปถึงเหนือหัวเข่า  และผู้หญิงให้เจาะหูแล้ใส่มวนใบลานที่รูหูตามอย่างพม่า  และให้โปสุพลา  โปมะยุง่วน  ดูแลเมืองลำพูนไว้เกี่ยวข้องกับการเป็นบ้านเมืองทางประวัติศาสตร์นั้น ปรากฎในสมัยก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยา เมืองป่าซางในอดีตเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญในการป้องกันข้าศึกที่ยกตีเมืองล้านนา  ได้แก่  ลำปาง  ลำพูน  และเชียงใหม่  เป็นต้น  พงศาวดารโยนกบันทึกไว้ว่า  ปี พ.ศ.2304  พม่าได้ให้โปมะยุง่วนเป็นแม่ทัพยกกองทัพมาตี  เชียงใหม่  และ ลำพูน  และในปี  พ.ศ.2306  ลำพูน   ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าจนถึง  พ.ศ.2308   ชาวลำพูนจึงรวบรวมกำลังต่อสู้ชิงเมืองคืนได้สำเร็จทำให้โปมะยุง่วนต้องหนีกลับเมืองอังวะต่อมาพม่าได้ให้อะแซ
หวุ่นกี้   ยกทัพมาตีเมืองลำพูนกลับคืนได้  ในปี  พ.ศ.2309  ในครั้งนี้พม่าได้บังคับให้ผู้ชายสักหมึกดำไว้ที่ขา  สักตั้งแต่เอวลงไปถึงเหนือหัวเข่า  และผู้หญิงให้เจาะหูแล้ใส่มวนใบลานที่รูหูตามอย่างพม่า  และให้โปสุพลา  โปมะยุง่วน  ดูแลเมืองลำพูนไว้             ถึงปี  พ.ศ.2317  ตรงกับจุลศักราช  1136  พระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่และลำพูนคืนจากพม่า  โดยการช่วยเหลือของพญาจ่าบ้านและพญากาวิละ โดยมาตั้งรับทัพพม่าอยู่ที่อำเภอป่าซาง  ในการศึกครั้งนี้พม่าพ่ายแพ้ต้องถอยกลับ  เมื่อเสร็จศึกครั้งนี้พญาจ่าบ้านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพญาวิเชียรปราการผู้ครองเมืองลำพูน  และพญากาวิละได้รับแต่งตั้งให้เป็น  ผู้ครองเมืองลำพูน  และพญากาวิละได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ครองเมืองเชียงใหม่  ในช่วงเวลานั้นเนื่องจากสภาวะสงครามเชียงใหม่และลำพูนเหลือประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนน้อยพญากาวิละจึงโปรดให้เจ้าศรีบุญมา  อุปราชไปทำการอพยพราษฎรจากสิบสองปันนามาอยู่ ณ เชียงใหม่  และลำพูนเรื่อนมาจนถึงป่าซาง  อันเป็นเหตุให้มีชาวไทยยองอาศัยอยู่หลายท้องที่ในอำเภอป่าซางจนถึงปัจจุบัน ถึง ปีพ.ศ.2330  ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  พม่าได้ยกทัพมาตีหัวเมือง  ล้านนาไทยอีก โดยมีหวุ่นหยีมหาชัยสุระเป็นแม่ทัพโดยเข้ามาทางเมืองเชียงตุง  ในครั้งนี้พม่าหรือข้าศึกไม่มารุกรานหัวเมืองล้านนาไทยอีกเลยจนถึงปัจจุบัน                ถึงปี พ.ศ.2443  ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารราชการแผ่นดินมาเป็นกระทรวง  ทบวง  กรม  มีการจัดตั้งหน่วยราชการเป็นแขวง  ซึ่งเมืองป่าซางเรียกชื่อว่า  "แขวงปากบ่อง"  เนื่องจากที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอตำบลป่าซาง  และเปลี่ยนชื่อมาเป็นอำเภอป่าซางจนกระทั่งถึงปัจจุบัน  เนื่องจากที่ว่าการอำเภอเดิมอยู่ใกล้แม่น้ำซึ่งเป็นที่ลุ่มมีน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี  และในขณะนั้นการคมนาคมทางบกเจริญขึ้นไม่ต้องอาศัยเส้นทางคมนาคมทางน้ำอีก ประกอบกับที่ตั้งที่ว่าการอำเภอแห่งใหม่ ณ ตำบลป่าซางเป็นศูนย์กลางความเจริญ  มีชุมชนหนาแน่น  จึงเป็นการเหมาะสม 
https://blogger.googleusercontent.com/img/proxy/AVvXsEgJ-udwsprEAVX0DW4YCaB3jQGY6IoDv6g0R32l4csJy_6_8Qo2vJiSsbHG_4AlqXzfqlCW2Rj6DWuSJqY5jF2cAFZzf8FInOAEGEWpoe86KJOKXogmxI9T3rvXnD6qMKl0rX76Y2aP1dHfPeTDyhpd8OcI=  สภาพทั่วไป
              อำเภอป่าซาง  มีเนื้อที่ประมาณ  293.30  ตารางกิโลเมตร  หรือ  183,500  ไร่  ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม
มีภูเขาเตี้ยๆ
    ไม่สูงมากนักกระจายอยู่ทางทิศใต้ของอำเภอ   ในเขตตำบลนครเจดีย์และตำบลมะกอก    มีลำน้ำสำคัญไหลผ่าน
หลายสาย
  ได้แก่  แม่น้ำปิง    แม่น้ำกวง    แม่น้ำทา    และลำห้วยแม่อาว
https://blogger.googleusercontent.com/img/proxy/AVvXsEgJ-udwsprEAVX0DW4YCaB3jQGY6IoDv6g0R32l4csJy_6_8Qo2vJiSsbHG_4AlqXzfqlCW2Rj6DWuSJqY5jF2cAFZzf8FInOAEGEWpoe86KJOKXogmxI9T3rvXnD6qMKl0rX76Y2aP1dHfPeTDyhpd8OcI=  อาณาเขต
            อำเภอป่าซาง   ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้  ห่างจากตัวจังหวัดลำพูน  11  กิโลเมตร
ทิศเหนือ
ติดต่อกับอำเภอสันป่าตอง    จังหวัดเชียงใหม่
ทิศใต้
ติดต่อกับอำเภอบ้านโฮ่ง    จังหวัดลำพูน
ทิศตะวันออก   
ติดต่อกับอำเภอแม่ทา  และอำเภอเมืองลำพูน
ทิศตะวันตก
ติดต่อกับอำเภอบ้านโฮ่งและอำเภอเวียงหนองล่อง  จังหวัดลำพูน
                                   
https://blogger.googleusercontent.com/img/proxy/AVvXsEgJ-udwsprEAVX0DW4YCaB3jQGY6IoDv6g0R32l4csJy_6_8Qo2vJiSsbHG_4AlqXzfqlCW2Rj6DWuSJqY5jF2cAFZzf8FInOAEGEWpoe86KJOKXogmxI9T3rvXnD6qMKl0rX76Y2aP1dHfPeTDyhpd8OcI=  ประชากรและอาชีพ
               อำเภอป่าซาง   มีประชากรทั้งสิ้น   56,942  คน   ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม  ได้แก่  ข้าว  กระเทียม
หัวหอม
  ลำไย  มะม่วง มันฝรั่ง  และมะเขือเทศ เป็นต้น  นอกจากนี้ยังมีประชาชนบางส่วนไปรับจ้างเป็นคนงานในนิคมอุตสาหกรรม
ลำพูน
   พื้นที่การปกครองของอำเภอป่าซาง  แบ่งออกเป็น  9  ตำบล   ได้แก่  ตำบลป่าซาง  ปากบ่อง  ม่วงน้อย  แม่แรง  บ้านเรือน
นครเจดีย์
   น้ำดิบ  และมะกอก   จำนวน  88  หมู่บ้าน
https://blogger.googleusercontent.com/img/proxy/AVvXsEgJ-udwsprEAVX0DW4YCaB3jQGY6IoDv6g0R32l4csJy_6_8Qo2vJiSsbHG_4AlqXzfqlCW2Rj6DWuSJqY5jF2cAFZzf8FInOAEGEWpoe86KJOKXogmxI9T3rvXnD6qMKl0rX76Y2aP1dHfPeTDyhpd8OcI=  สภาพภูมิอากาศ
ฤดูร้อน
ช่วงระยะเวลาตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเดือน พฤษภาคม
ฤดูฝน 
ช่วงระยะเวลาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงเดือน ตุลาคม
ฤดูหนาว
ช่วงระยะเวลาตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน ถึงเดือน กุมภาพันธ์



วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

นางสาวบัวจันทร์ นันทขว้าง

นางสาวบัวจันทร์ นันทขว้าง
ภาพถ่ายเมื่อปี พ.ศ.2478 โดยนางสาวบัวจันทร์ นันทขว้าง ได้เข้าร่วมประกวดนางงาม จังหวัดลำพูน และได้รางวัลที่ 1 จากงานฉลองวันรัฐธรรมนูญ ซึ่งในการประกวดนางสาวลำพูนจะถูกส่งไปเป็นตัวแทนจังหวัด เข้าประกวดนางสาวถิ่นไทยงามที่เชียงใหม่ หรือไปประกวดนางสาวไทยที่กรุงเทพ

นางงามลำพูนมักจะอยู่คู่กับโรงทอผ้าเสมอ เพราะโรงทอผ้าส่วนใหญืจะเป็นผู้ให้การสนับสนุนและส่งนางงามเข้าประกวด ทำให้ย่านป่าซางซึ่งเป็นตลาดขายสินค้ามีชื่อเสียงว่า หญิงป่าซางสวย เนื่องมาจากการที่นางงามลำพูนได้เข้ามาทำหน้าที่ในการขายผ้าในย่านป่าซางนั่นเอง

นางสาวสุชีลา ศรีสมบูรณ์

สุชีลา ศรีสมบูรณ์


 การประกวดนางสาวไทย เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2477 ในโอกาสงานฉลองรัฐธรรมนูญ ซึ่งสมัยก่อนทางราชการกำหนดจัดให้มีงานฉลองรัฐธรรมนูญทั้งประเทศหลายวัน ในประมาณช่วงวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งในยุคก่อนจะใช้ชื่อการประกวดว่า "นางสาวสยาม" สาวงามที่เข้าประกวดทุกคนหน่วยงานราชการจะเป็นผู้ส่ง ส่วนนางงามจากต่างจังหวัดก็ให้ส่วนราชการของจังหวัดส่งเข้ามา



 สุชีลา ศรีสมบูรณ์ หรือ สมบูรณ์ ศรีบุรี ในวัย 17 ปี สาวจากเมืองลำพูนมีโอกาสเข้าประกวดนางสาวถิ่นไทยงามในปี พ.ศ.2496 ด้วยการคว้าตำแหน่งรองนางสาวถิ่นไทยงาม อันดับ 1 มาครอง โดยมีพรรณี ภัคดีเป็นนางสาวถิ่นไทยงามในปีนั้น จากนั้นอีก 1 ปี สุชีลาได้รับการทาบทามจากคุณอวยพร ปัตตะพงษ์ ให้ไปประกวดนางสาวไทยโดยมีธนาคารออมสิน สาขาภาค 6 เชียงใหม่ให้การสนับสนุน 



ด้วยความพร้อมของสุชีลา ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าที่หวานเด่น ผิวนวลผ่องใสตามแบบฉบับของสาวเหนือ รูปร่างที่เต็มตึงสมส่วน เสื้อผ้าอาภรณ์อันวิจิตรงดงามซึ่งได้รับการออกแบบตัดเย็บอย่างปราณีตจากผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมในยุคนั้นคือ คุณหญิงจุไร ลืออำรุง ยศวดี บุญหลงและสปัน เธียรประสิทธิ์ รวมทั้งการทำผมแต่งหน้าโดยช่างจากร้านเจือจันทร์ บางขุนพรหม ทำให้สุชีลาได้รับการกล่าวขานให้เป็นตัวเก็งเต็งหนึ่ง ตั้งแต่การประกวดรอบแรก

ขณะที่บรรยากาศของการประกวดนางสาวไทยในปี พ.ศ.2497 สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นช่างน่ารักน่าเอ็นดูชนิดที่เรียกว่าหาไม่ได้แล้วในยุคปัจจุบันคือ ผู้ชมจะตะโกนเรียกชื่อสาวงามที่ตนเชียร์ พร้อมทั้งปรมมือให้กำลังใจ และสาวงามก็จะโปรยยิ้มอย่างจริงใจแทนคำขอบคุณ ทั้งคนเดิน คนดูต่างก็มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส 

สุชีลา เล่าว่า บรรยากาศการประกวดนางสาวไทยในปีนั้น จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 - 18 ธันวาคมใช้สวนลุมพินีเป็นสถานที่ประกวด เก็บค่าดูคนละ 5 บาท 10 บาท 20 บาทและ 100 บาท มีพระมนูญเวทย์วิมลนาท ประธานศาลฏีกา เป็นประธานกรรมการตัดสิน และเป็นไปตามที่สื่อมวลชนคาดหมายเมื่อ กาลัญ อมาตยกุล โฆษกประจำงานประกาศให้นาวสาวไทย คนที่ 13 ประจำปี 2497 คือ สุชีลา ศรีสมบูรณ์ พร้อมรองทั้ง 4 คนคือ จงดี วิเศษฤทธิ์ อุทัยวรรณ เทพจินดา ระเบียบ อาชนะโยธินและวาสนา รอดศิริ

พระยารามราชภักดี ได้เชิญท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ขึ้นสวมมงกุฎให้กับนางสาวไทย พร้อมมอบถ้วยเงินใบใหญ่ แหวนเพชร จักรเย็บผ้าซิงเกอร์ เข็มขัดนาก ทองคำหนัก 4 บาทและเงินรางวัลอีก 20,000 บาท"ความรู้สึกตอนนั้นไม่คิดว่าตัวเองจะได้เป็นนางสาวไทยแต่อย่างใด มันงงบอกไม่ถูกนะ คุณอวยพรที่ส่งเราเข้าประกวดก็หวังเพียงติด 1 ใน 5 ก็พอใจแล้ว แต่พอประกวด ๆ ไปแล้วดิฉันกลายเป็นเต็งหนึ่ง"

หลังจากได้รับตำแหน่งนางสาวไทยพร้อมรองทั้ง 4 คนต้องออกปฏิบัติภารกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งตระเวนตามงานกุศลและแวะเยี่ยมขอบคุณผู้ให้การสนับสนุน หลังจากปีนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีการประกวดนางสาวไทยเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจบ้านเมืองตกต่ำ กระทั่งการประกวดนางสาวไทยได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งในปี พ.ศ.2507 นับได้ว่าสุชีลาเป็นนางสาวที่ครองตำแหน่งนานที่สุดถึง 10 ปี

กว่า 50 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าวันนี้สุชีลาจะหันหลังให้กับวงการมายา เลือกมุ่งหน้าทำธุรกิจโรงแรมอยู่ในจังหวัดกำแพงเพชร อันเป็นวิถีชีวิตที่เงียบสงบ แต่เชื่อแน่ว่าชื่อของ สุชีลา ศรีสมบูรณ์ หรือ สมบูรณ์ ศรีบุรี อดีตนางสาวไทยคนลำพูนคนนี้จะยังคงอยู่ในความทรงจำของคนไทยอย่างมิอาจลืมเลือนไปได้



เอกสารอ้างอิง
www.thailandpageant.com
นิตยสารสกุลไทย,29 มีนาคม 2537
อ้างอิง
จักรพงษ์ คำบุญเรือง เว็บไซต์ http://www.lannacorner.net/lanna2012/article/article.php?type=A&ID=627