บริเวณอำเภอป่าซาง อยู่ในตำแหน่งที่มีสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์แห่งหนึ่ง
ในดินแดนภาคเหนือของประเทศไทย เพราะเป็นที่ ชุมทางของลำน้ำสำคัญถึง 3 สาย ได้แก่ แม่น้ำปิง
แม่น้ำกวง และลำน้ำแม่ทา แม่น้ำปิงคือลำน้ำที่ผ่านเมืองเชียงใหม่ลงมา
ในขณะ ที่ลำน้ำกวงไหลมาจากเทือกเขา
และที่สูงทางตะวันออกเฉียงเหนือผ่านอำเภอสันกำแพงมายังอำเภอเมืองลำพูนแล้วผ่านเมืองลำพูนมา
ทางตะวันออกเฉียงใต้พบกับลำน้ำแม่ทาซึ่งไหลลงมาจากเทือกเขาทางทิศใต้ผ่านบ้านป่าซางและที่ทำการอำเภอป่าซางมาบรรจบกับ ลำน้ำแม่กวงที่บ้านสบทาต่อจากนั้นก็ไหลรวมกันไปทางทิศตะวันตกประมาณ 1 กิโลเมตร ไปบรรจบกับแม่น้ำปิง จากตำแหน่งอัน เป็นที่พบกันของลำน้ำทั้งสามนี้ ทำให้เป็นบริเวณที่คุมเส้นทางที่จะเดินทางต่อไปยังเมืองเชียงใหม่และเมืองลำพูน เท่ากับอยู่ใน ตำแหน่งที่เป็นหน้าด่านที่สำคัญของเมืองทั้งสามที่เดียว เพราะฉะนั้นบริเวณที่พัฒนาการขึ้นเป็นชุมชนเมืองนั้น ก็หาได้อยู่ตรงบริเวณที่ลำน้ำสบกันไม่ หากอยู่ในบริเวณสองฝั่งของลำน้ำแม่ทาที่ห่างจากบ้านสบทามาทางใต้ราว 2 กิโลเมตร เพราะเป็น ตำแหน่งที่คุมเส้นทางทางบกที่มาจากอำเภอเถิน อำเภอลี้ และอำเภอบ้านโฮ่งทางใต้ เส้นทางบกนี้ต่อมาได้พัฒนาขึ้นเป็นเส้น ถนนหลวงที่ใช้ติดต่อกับระหว่างเชียงใหม่ ลำพูน ลี้ เถิน และเมืองตาก รวมทั้งลงมายังกำแพงเพชร นครสวรรค์ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ลงมาด้วย ชุมทางของลำน้ำสำคัญถึง 3 สาย ได้แก่ แม่น้ำปิง แม่น้ำกวง และลำน้ำแม่ทา แม่น้ำปิงคือลำน้ำที่ผ่านเมืองเชียงใหม่ลงมา ในขณะที่ลำน้ำกวงไหลมาจากเทือกเขา และที่สูงทางตะวันออกเฉียงเหนือผ่านอำเภอสันกำแพงมายังอำเภอเมืองลำพูนแล้วผ่านเมืองลำพูนมา ทางตะวันออกเฉียงใต้พบกับลำน้ำแม่ทาซึ่งไหลลงมาจากเทือกเขาทางทิศใต้ผ่านบ้านป่าซางและที่ทำการอำเภอป่าซางมาบรรจบกับลำน้ำแม่กวงที่บ้านสบทาต่อจากนั้นก็ไหลรวมกันไปทางทิศตะวันตกประมาณ 1 กิโลเมตร ไปบรรจบกับแม่น้ำปิง จากตำแหน่งอันเป็นที่พบกันของลำน้ำทั้งสามนี้ ทำให้เป็นบริเวณที่คุมเส้นทางที่จะเดินทางต่อไปยังเมืองเชียงใหม่และเมืองลำพูน เท่ากับอยู่ในตำแหน่งที่เป็นหน้าด่านที่สำคัญของเมืองทั้งสามที่เดียว เพราะฉะนั้นบริเวณที่พัฒนาการขึ้นเป็นชุมชนเมืองนั้น ก็หาได้อยู่ตรงบริเวณที่ลำน้ำสบกันไม่ หากอยู่ในบริเวณสองฝั่งของลำน้ำแม่ทาที่ห่างจากบ้านสบทามาทางใต้ราว 2 กิโลเมตร เพราะเป็นตำแหน่งที่คุมเส้นทางทางบกที่มาจากอำเภอเถิน อำเภอลี้ และอำเภอบ้านโฮ่งทางใต้ เส้นทางบกนี้ต่อมาได้พัฒนาขึ้นเป็นเส้นถนนหลวงที่ใช้ติดต่อกับระหว่างเชียงใหม่ ลำพูน ลี้ เถิน และเมืองตาก รวมทั้งลงมายังกำแพงเพชร นครสวรรค์ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ลงมาด้วยชุมทางของลำน้ำสำคัญถึง 3 สาย ได้แก่ แม่น้ำปิง แม่น้ำกวง และลำน้ำแม่ทา แม่น้ำปิงคือลำน้ำที่ผ่านเมืองเชียงใหม่ลงมา ในขณะที่ลำน้ำกวงไหลมาจากเทือกเขา และที่สูงทางตะวันออกเฉียงเหนือผ่านอำเภอสันกำแพงมายังอำเภอเมืองลำพูนแล้วผ่านเมืองลำพูนมาทางตะวันออกเฉียงใต้พบกับลำน้ำแม่ทาซึ่งไหลลงมาจากเทือกเขาทางทิศใต้ผ่านบ้านป่าซางและที่ทำการอำเภอป่าซางมาบรรจบกับลำน้ำแม่กวงที่บ้านสบทาต่อจากนั้นก็ไหลรวมกันไปทางทิศตะวันตกประมาณ 1 กิโลเมตร ไปบรรจบกับแม่น้ำปิง จากตำแหน่งอันเป็นที่พบกันของลำน้ำทั้งสามนี้ ทำให้เป็นบริเวณที่คุมเส้นทางที่จะเดินทางต่อไปยังเมืองเชียงใหม่และเมืองลำพูน เท่ากับอยู่ในตำแหน่งที่เป็นหน้าด่านที่สำคัญของเมืองทั้งสามที่เดียว เพราะฉะนั้นบริเวณที่พัฒนาการขึ้นเป็นชุมชนเมืองนั้น ก็หาได้อยู่ตรงบริเวณที่ลำน้ำสบกันไม่ หากอยู่ในบริเวณสองฝั่งของลำน้ำแม่ทาที่ห่างจากบ้านสบทามาทางใต้ราว 2 กิโลเมตร เพราะเป็นตำแหน่งที่คุมเส้นทางทางบกที่มาจากอำเภอเถิน อำเภอลี้ และอำเภอบ้านโฮ่งทางใต้ เส้นทางบกนี้ต่อมาได้พัฒนาขึ้นเป็นเส้นถนนหลวงที่ใช้ติดต่อกับระหว่างเชียงใหม่ ลำพูน ลี้ เถิน และเมืองตาก รวมทั้งลงมายังกำแพงเพชร นครสวรรค์ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ลงมาด้วย การมีชุมชนบ้านเมืองในเขตอำเภอป่าซางมีมาแล้วแต่สมัยล้านนา เพราะอยู่บนเส้นทางคมนาคมแต่โบราณ แต่เรื่องราวที่ เกี่ยวข้องกับการเป็นบ้านเมืองทางประวัติศาสตร์นั้น ปรากฎในสมัยก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยา เมืองป่าซางในอดีตเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญในการป้องกันข้าศึกที่ยกตีเมืองล้านนา ได้แก่ ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ เป็นต้น พงศาวดารโยนกบันทึกไว้ว่า ปี พ.ศ.2304 พม่าได้ให้โปมะยุง่วนเป็นแม่ทัพยกกองทัพมาตี เชียงใหม่ และ ลำพูน และในปี พ.ศ.2306 ลำพูน ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า จนถึง พ.ศ.2308 ชาวลำพูนจึงรวบรวมกำลังต่อสู้ชิงเมืองคืนได้สำเร็จทำให้โปมะยุง่วนต้องหนีกลับเมืองอังวะต่อมาพม่าได้ให้อะแซหวุ่นกี้ ยกทัพมาตีเมืองลำพูนกลับคืนได้ ในปี พ.ศ.2309 ในครั้งนี้พม่าได้บังคับให้ผู้ชายสักหมึกดำไว้ที่ขา สักตั้งแต่เอวลงไปถึงเหนือหัวเข่า และผู้หญิงให้เจาะหูแล้ใส่มวนใบลานที่รูหูตามอย่างพม่า และให้โปสุพลา โปมะยุง่วน ดูแลเมืองลำพูนไว้เกี่ยวข้องกับการเป็นบ้านเมืองทางประวัติศาสตร์นั้น ปรากฎในสมัยก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยา เมืองป่าซางในอดีตเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญในการป้องกันข้าศึกที่ยกตีเมืองล้านนา ได้แก่ ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ เป็นต้น พงศาวดารโยนกบันทึกไว้ว่า ปี พ.ศ.2304 พม่าได้ให้โปมะยุง่วนเป็นแม่ทัพยกกองทัพมาตี เชียงใหม่ และ ลำพูน และในปี พ.ศ.2306 ลำพูน ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าจนถึง พ.ศ.2308 ชาวลำพูนจึงรวบรวมกำลังต่อสู้ชิงเมืองคืนได้สำเร็จทำให้โปมะยุง่วนต้องหนีกลับเมืองอังวะต่อมาพม่าได้ให้อะแซหวุ่นกี้ ยกทัพมาตีเมืองลำพูนกลับคืนได้ ในปี พ.ศ.2309 ในครั้งนี้พม่าได้บังคับให้ผู้ชายสักหมึกดำไว้ที่ขา สักตั้งแต่เอวลงไปถึงเหนือหัวเข่า และผู้หญิงให้เจาะหูแล้ใส่มวนใบลานที่รูหูตามอย่างพม่า และให้โปสุพลา โปมะยุง่วน ดูแลเมืองลำพูนไว้เกี่ยวข้องกับการเป็นบ้านเมืองทางประวัติศาสตร์นั้น ปรากฎในสมัยก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยา เมืองป่าซางในอดีตเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญในการป้องกันข้าศึกที่ยกตีเมืองล้านนา ได้แก่ ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ เป็นต้น พงศาวดารโยนกบันทึกไว้ว่า ปี พ.ศ.2304 พม่าได้ให้โปมะยุง่วนเป็นแม่ทัพยกกองทัพมาตี เชียงใหม่ และ ลำพูน และในปี พ.ศ.2306 ลำพูน ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าจนถึง พ.ศ.2308 ชาวลำพูนจึงรวบรวมกำลังต่อสู้ชิงเมืองคืนได้สำเร็จทำให้โปมะยุง่วนต้องหนีกลับเมืองอังวะต่อมาพม่าได้ให้อะแซ
หวุ่นกี้ ยกทัพมาตีเมืองลำพูนกลับคืนได้
ในปี พ.ศ.2309 ในครั้งนี้พม่าได้บังคับให้ผู้ชายสักหมึกดำไว้ที่ขา สักตั้งแต่เอวลงไปถึงเหนือหัวเข่า และผู้หญิงให้เจาะหูแล้ใส่มวนใบลานที่รูหูตามอย่างพม่า
และให้โปสุพลา โปมะยุง่วน
ดูแลเมืองลำพูนไว้
ถึงปี พ.ศ.2317
ตรงกับจุลศักราช 1136 พระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่และลำพูนคืนจากพม่า
โดยการช่วยเหลือของพญาจ่าบ้านและพญากาวิละ
โดยมาตั้งรับทัพพม่าอยู่ที่อำเภอป่าซาง ในการศึกครั้งนี้พม่าพ่ายแพ้ต้องถอยกลับ
เมื่อเสร็จศึกครั้งนี้พญาจ่าบ้านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพญาวิเชียรปราการผู้ครองเมืองลำพูน
และพญากาวิละได้รับแต่งตั้งให้เป็น ผู้ครองเมืองลำพูน
และพญากาวิละได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ครองเมืองเชียงใหม่
ในช่วงเวลานั้นเนื่องจากสภาวะสงครามเชียงใหม่และลำพูนเหลือประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนน้อยพญากาวิละจึงโปรดให้เจ้าศรีบุญมา
อุปราชไปทำการอพยพราษฎรจากสิบสองปันนามาอยู่ ณ เชียงใหม่ และลำพูนเรื่อนมาจนถึงป่าซาง
อันเป็นเหตุให้มีชาวไทยยองอาศัยอยู่หลายท้องที่ในอำเภอป่าซางจนถึงปัจจุบัน
ถึง ปีพ.ศ.2330 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
พม่าได้ยกทัพมาตีหัวเมือง ล้านนาไทยอีก
โดยมีหวุ่นหยีมหาชัยสุระเป็นแม่ทัพโดยเข้ามาทางเมืองเชียงตุง ในครั้งนี้พม่าหรือข้าศึกไม่มารุกรานหัวเมืองล้านนาไทยอีกเลยจนถึงปัจจุบัน
ถึงปี พ.ศ.2443 ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารราชการแผ่นดินมาเป็นกระทรวง
ทบวง กรม มีการจัดตั้งหน่วยราชการเป็นแขวง
ซึ่งเมืองป่าซางเรียกชื่อว่า "แขวงปากบ่อง"
เนื่องจากที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอตำบลป่าซาง และเปลี่ยนชื่อมาเป็นอำเภอป่าซางจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เนื่องจากที่ว่าการอำเภอเดิมอยู่ใกล้แม่น้ำซึ่งเป็นที่ลุ่มมีน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี
และในขณะนั้นการคมนาคมทางบกเจริญขึ้นไม่ต้องอาศัยเส้นทางคมนาคมทางน้ำอีก
ประกอบกับที่ตั้งที่ว่าการอำเภอแห่งใหม่ ณ ตำบลป่าซางเป็นศูนย์กลางความเจริญ
มีชุมชนหนาแน่น จึงเป็นการเหมาะสม
|
||||||||
สภาพทั่วไป
|
||||||||
อำเภอป่าซาง มีเนื้อที่ประมาณ 293.30 ตารางกิโลเมตร หรือ 183,500
ไร่ ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม
มีภูเขาเตี้ยๆ ไม่สูงมากนักกระจายอยู่ทางทิศใต้ของอำเภอ ในเขตตำบลนครเจดีย์และตำบลมะกอก มีลำน้ำสำคัญไหลผ่าน หลายสาย ได้แก่ แม่น้ำปิง แม่น้ำกวง แม่น้ำทา และลำห้วยแม่อาว |
||||||||
อาณาเขต
|
||||||||
อำเภอป่าซาง ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้
ห่างจากตัวจังหวัดลำพูน 11
กิโลเมตร
|
||||||||
ประชากรและอาชีพ
|
||||||||
อำเภอป่าซาง มีประชากรทั้งสิ้น
56,942 คน
ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ได้แก่
ข้าว กระเทียม
หัวหอม ลำไย มะม่วง มันฝรั่ง และมะเขือเทศ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีประชาชนบางส่วนไปรับจ้างเป็นคนงานในนิคมอุตสาหกรรม ลำพูน พื้นที่การปกครองของอำเภอป่าซาง แบ่งออกเป็น 9 ตำบล ได้แก่ ตำบลป่าซาง ปากบ่อง ม่วงน้อย แม่แรง บ้านเรือน นครเจดีย์ น้ำดิบ และมะกอก จำนวน 88 หมู่บ้าน |
||||||||
สภาพภูมิอากาศ
|
||||||||
|
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น